นางสาวอารีรัตน์ มุราชัย หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด (GCAP GOLD) เปิดเผยว่า ราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในทิศทางบวกอย่างแข็งแกร่ง และปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่ สะท้อนถึงกระแสความต้องการถือทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่ยังคงหนาแน่น โดยมีปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงสนับสนุนขาขึ้นคือ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่อาจปะทุขึ้นอีกครั้ง โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่เก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มอีก 100% เป็น 130% จากเดิม 30% และประกาศควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญ ซึ่งมีผลวันที่ 1 พฤสจิกายน 2568 ขณะที่จีนได้ทำการตอบโต้ทันที และพร้อมใช้มาตรการสวนกลับ ทำให้ตลาดกังวลว่า สงครามการค้ารอบใหม่อาจปะทุขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีท่าทีอ่อนลง แต่ตลาดก็ยังคงมองว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และถือเป็นความเสี่ยง
ส่วนปัญหาการเมืองในสหรัฐฯ โดยเฉพาะวิกฤต Government Shutdown ที่เข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 และยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องงบประมาณ ขณะที่การเลิกจ้างเริ่มเกิดขึ้น ส่งผลให้ตลาดลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งเป็นผลบวกต่อราคาทองคำในระยะสั้น
ขณะที่เฟดลดดอกเบี้ยหนุนราคาทองคำ โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยตลาดคาดการณ์ในเดือนตุลาคม 2568 มีโอกาสสูงถึง 96% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ส่วนในเดือนธันวาคม 2568 คาดว่ามีโอกาสที่ 87% ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และผลตอบแทนพันธบัตรลดลง ซึ่งเป็นแรงหนุนสำคัญต่อราคาทองคำในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์ GCAP GOLD ประเมินว่า ภาพรวมราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มเชิงบวก เนื่องจากราคายังคงเคลื่อนไหวเหนือระดับสำคัญที่ 4,000 เหรียญ และสามารถรักษาทิศทางในกรอบขาขึ้นได้อย่างมั่นคง ดังนั้น นักลงทุนที่ถือสถานะฝั่งซื้อมาสามารถ Run Profit ต่อได้
สำหรับกลยุทธ์ระยะสั้น แนะนำหาจังหวะทยอยเข้าซื้อ และหากราคาทองคำย่อตัวลง แต่ยังไม่หลุดโซนแนวรับที่ระดับ 4,090-4,050 (ราคาทองคำไทยประมาณ 63,000-62,500 บาท) และหากรักษาระดับได้ คาดว่ามีโอกาสที่ราคาจะดีดตัวขึ้นต่อสู่แนวต้านโซน 4,200-4,250 เหรียญ (ราคาทองคำไทยประมาณ 64,700-65,300 บาท) อย่างไรก็ตาม ยังคงแนะให้เฝ้าระวังแรงเหวี่ยงของราคาจากข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หรือการเจรจางบประมาณของสหรัฐฯ
*************************



